1.Team (การทำงานเป็นทีม) การมีทีมงานที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องเปิดใจพร้อมที่จะถูกเทรนหรือโค้ชตลอดเวลา และมีความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจและมีความโฟกัสในการทำธุรกิจของตัวเอง
2.Market Opportunity (โอกาสการทำธุรกิจหรือตลาดใหม่) เงินทุนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงและต้องดูยอดขายของธุรกิจว่ามีอัตราการเติบโตมากน้อยแค่ไหน รวมถึงเข้าใจมูลค่าทางธุรกิจของตนเอง
3.Defensibility (การป้องกันธุรกิจของตน) ต้องตรวจสอบว่าธุรกิจของเราง่ายที่จะถูกคัดลอกไหม เพื่อป้องกันคู่แข่งไม่ให้ลอกเลียนแบบธุรกิจและต้องสร้างความแตกต่าง
4.Capital / Margins (เงินทุน) ความคุ้มค่าของการลงทุนในธุรกิจและต้องคำนวณเรื่องการใช้เงินว่าต้องใช้เวลามากน้อยแค่ไหนกว่าจะคืนทุน
5.Country For Follow On (ประเทศหรือผู้ลงทุนต่อเนื่อง) มีผู้ลงทุนในตลาดเพียงพอหรือไม่เพื่อที่จะให้สตาร์ตอัพไต่ไประดับที่สูงกว่า
6.Exit Potential (จุดหมายสำคัญของธุรกิจ) เป้าหมายของสตาร์ทอัพว่า ในที่สุดแล้วจะขายกิจการ หรือเอากิจการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้เจฟฟรี เพย์นยังได้เล่าถึงความแตกต่างของการทำสตาร์ทอัพในประเทศไทยและต่างประเทศ ให้ประสบความสำเร็จ รวมถึงยังได้แชร์ทิปมัดใจ VC สั้นๆ และทิศทางการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ
1.Be Yourself (เป็นตัวของตัวเอง) โชว์ศักยภาพของสตาร์ทอัพให้เยอะที่สุด บอกจุดแข็งของตัวเองและความจริงใจต่อผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญ
2.Family Oriented (ความเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน) เป็นจุดแข็งที่สตาร์ทอัพควรรักษาเอาไว้ ความเป็นครอบครัวเดียวกัน ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างสตาร์ทอัพกันเอง
3.Understanding Cultural Differences (ความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรม) สตาร์ทอัพจะไปไกลได้ถ้าพัฒนาในเรื่องของภาษาและเดินทางออกไปต่างประเทศ เพื่อหามุมมองในการทำธุรกิจที่กว้างมากขึ้นหรือมองเห็นภาพใหญ่มากขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าในระดับสากลหรือในภูมิภาค
ทิศทางการทำธุรกิจสตาร์ตอัพในไทย ในภาพรวมตอนนี้เริ่มมีนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาในไทยมากขึ้น และพร้อมจะช่วยเรื่องเงินทุนให้กับสตาร์ตอัพไทย
แหล่งที่มา
แชร์บอกให้เพื่อนคุณรู้