Review By RP

ต้นไม้ใบด่าง ควรมีในบ้าน สวยสะดุดตา

โดย: Review Promote
5 กรกฎาคม 2564 เวลา 13:45 ผู้เข้าชม: 16,994
0
0
0

นับได้ว่าช่วงนี้เป็นกระแสการปลูกต้นไม้ด่าง ทำให้คสามนิยมการซื้อต้นไม้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับใครที่เป็นมือใหม่ในการปลูกต้นไม้ด่าง เรารวบต้นไม้ด่างที่มีความนิยม และพร้อมวีธีเลี้ยงดูแลด้วย แถมต้นไม้ใบด่างยังตกแต่งบ้านให้สวยได้ด้วยนะคะ จะมีชนิดใดบ้างนั้นมาดูกันเลยค่ะ

ผู้สนับสนุน

1. ต้นพิลังกาสาด่าง


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้น ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 1-4 เมตร ลำต้นตั้งตรง กิ่งรูปทรงกระบอก หรือเป็นทรงเหลี่ยม สีน้ำตาลอมเทา กิ่งอ่อนสีน้ำตาลแดง แตกกิ่งก้านไม่เป็นระเบียบ

ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ เรียงแน่นที่ปลายกิ่ง รูปรีถึงรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน กว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 6-12 เซนติเมตร ปลายแหลมถึงมน โคนรูปลิ่ม ขอบเรียบ แผ่นใบมีต่อมเป็นจุดๆ กระจายอยู่ทั่วไป ใบหนาคล้ายแผ่นหนัง แผ่นใบด้านบนสีเขียว และมีขลิบสีเขียวอ่อนถึงขาวที่ขอบใบ ก้านใบสั้น

ดอก ออกเป็นช่อ ที่บริเวณซอกใบและปลายกิ่ง ช่อละ 4-8 ดอก ดอกสีขาวอมชมพู ก้านช่อดอกยาว 1.5-2.5 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 8-15 มิลลิเมตร กลีบเลี้ยงสีเขียว โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉกคล้ายรูปดาว กลีบดอกที่โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ปลายแยกเป็น 5 แฉก แต่ละแฉกรูปใบหอก ปลายแหลม

ผล รูปทรงกลมแป้น ผิวเรียบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 มิลลิเมตร ผลอ่อนสีแดง เมื่อสุกมีสีม่วงเข้ม เมล็ดเดี่ยว กลม พบตามป่าดงดิบเขาทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ข้อมูลทั่วไป

การปลูกเลี้ยงและการใช้ประโยชน์

การปลูกเลี้ยง  ดินร่วนระบายน้ำดี ต้องการน้ำปานกลาง ชอบแดด 

การขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง 

การใช้ประโยชน์  ปลูกเป็นไม้ประดับ 


CR : ร้านใบไม้1973 | พระนครศรีอยุธยา

ข้อมูลอ้างอิง : data.addrun


2. ยางอินเดียด่าง

ต้นยางอินเดีย อยู่ในวงศ์เดียวกับ มะเดื่อ โพ กร่าง และไทรชนิดต่างๆ คำว่า elastica แปลว่า ยาง ซึ่งจะหมายถึงน้ำยางสีขาวในต้น

ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ แตกกิ่งแผ่กว้าง ไม่ผลัดใบ ถ้าปลูกลงดินจะสูงได้ถึง 25 เมตร

ลำต้น : สีน้ำตาลเข้ม ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว

ใบ : ใบเดี่ยว รูปรีหรือรูปไข่กลับ ขอบใบเรียบ หนาแข็งเกลี้ยงเป็นมัน มีหูใบสีชมพูหรือสีแดงห่อหุ้มยอดอ่อนไว้ ก้านใบสีแดงเรื่อ

ดอก : ขนาดเล็ก แยกเพศออกเป็นคู่

ผล : ทรงกลมรี เมื่อแก่เป็นสีเหลือง


ปัจจุบัน ต้นยางอินเดีย มีการกลายพันธุ์ เป็นพันธุ์ใบด่างที่มีสีสันสวยงาม เช่น ด่างสีขาว เหลือง หรือสีเข้มเกือบดำ และยังมีที่เป็นพันธุ์แคระหรือพันธุ์เตี้ย นิยมปลูกเป็นไม้กระถางประดับในบ้านและอาคาร สำนักงานต่างๆ เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยดูดสารพิษฟอกอากาศได้ดี


สายพันธุ์ยางอินเดีย :

- พันธุ์ใบด่างสีเหลืองสลับเขียวอ่อน (Ficus elastica variegata) เป็นยางด่างที่ปลูกกันในประเทศไทย ค่อนข้างอ่อนแอ ไม่แข็งแรงเท่ากับ F. Elastica decora แต่ทั้งสองชนิดนี้นิยมปลูกกันมากเนื่องจากขยายพันธุ์ได้ง่ายและเจริญเติบโตดี

- พันธุ์ Ficus lyrata นิยมปลูกกันเป็นไม้ประดับ ใบใหญ่ และยาวได้ถึง 18 นิ้ว สีเขียวอ่อน ด้าน ไม่เป็นมันเหมือน F. elastica decora ขอบใบอาจเป็นลอนขึ้นๆ ลงๆ เส้นใบนูนเห็นได้ชัด ใบสาก มีขนอยู่ทั่ว ๆ ไป ซึ่งเรียกลักษณะใบว่า Fiddle shaped leaves

- พันธุ์ Ficus parcellii จากหมู่เกาะแปซิฟิค ใบบางมีลายด่างสีขาวครีม และผลมีสีด่างด้วย

- พันธุ์ Ficus rubiginosa จากออสเตรเลีย เจริญเติบโตได้ง่าย เช่น F. elastica

- พันธุ์ Ficus อื่นๆ ที่เป็นแบบเลื้อยก็มี เช่น F. pumila (repens) ใช้ปลูกคลุมกำแพง หรือที่เรียกกันว่า ตีนตุ๊กแก

CR : December .

ข้อมูลอ้างอิง : premiumseedshop


3. ต้นกวักมรกตด่าง

กวักมรกต เป็นไม้หัวขนาดเล็ก ลำต้นเรียวยาว ใบมีสองสี คือสีเขียวกับสีดำเงา จัดอยู่ในกลุ่มไม้มงคลที่มีความเชื่อว่าถ้าปลูกไว้ในบ้าน จะช่วยเรื่องโชคลาภ กวักเงินกวักทองเข้าบ้าน และยังช่วยดูดสารพิษภายในบ้านได้อีกด้วย

ดูแลยังไง

กวักมรกตเป็นไม้ที่ดูแลง่ายแทบจะไม่ต้องดูแลอะไรเลย ปัจจัยหลักๆ มีอยู่ 3 อย่าง

แสงแดด กวักมรกตเป็นไม้ที่ไม่ต้องโดนแสงแดดมากก็อยู่ได้ ให้โดนแสงแดดรำไรหรือแสงแดดจากหน้าต่างก็พอ

น้ำ สำหรับน้ำคนที่ไม่ค่อยว่างน่าจะชอบ เพราะไม่ต้อง รดน้ำบ่อยๆ รดน้ำอาทิตย์ละครั้งหรือจนกว่าดินจะแห้ง ก็พอแล้ว

ดิน ส่วนดินก็ง่ายๆ เน้นให้ดินโปร่งรดน้ำแล้วไม่แฉะ

ปลูกยังไงให้สวย

จะปลูกกวักมรกตให้สวยไม่ยากเลย อย่างแรกคือระวังเรื่องการรดน้ำ ถ้ารดน้ำบ่อยเกินไปจะทำให้รากเน่า เรื่องแมลงหรือศัตรูพืชก็ไม่ค่อยมี ควรใส่ปุ๋ยชนิดละลายน้ำเดือนละครั้ง ถ้าปลูกในบ้านก็ควรเช็ดใบให้เขียวสวยอยู่ตลอดและพาออกไปโดนแดดบ้าง

ควรปลูกไว้ที่ไหน

กวักมรกตสามารถปลูกเอาไว้ได้แทบจะทุกที่ ในบ้านหรือนอกบ้าน จะห้องน้ำ ห้องนอนก็ได้ หลักๆควรปลูกให้โดนแสงแดดรำไร หรือแสงแดดจากหน้าต่าง ยิ่งปลูกในบ้านหรือห้องนอนยิ่งดีเพราะจะช่วยดูดสารพิษในห้องได้ ถ้าใครอยากปลูกเอาโชคลาภก็ให้วางไว้หน้าบ้าน จะช่วยกวักเงินกวักทองเข้าบ้าน

CR : sanook

ข้อมูลอ้างอิง : livingpop


4. กล้วยด่าง

กล้วยด่างมีหลายสายพันธุ์ด้วยกัน ส่วนกล้วยด่างที่นิยมปลูกมี 5 สายพันธุ์ด้วยกัน ได้แก่

1. กล้วยฟอลิด้าด่าง

กล้วยฟอลิด้าด่าง หรือกล้วยด่าง (Aureo-striata, Yellow-striped Heliconia) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Heliconia indica Lam. ‘Striata’ มีถิ่นกำเนิดในฮาวายและหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ จัดอยู่ในวงศ์ Heliconiaceae เป็นไม้ล้มลุก ความสูงประมาณ 3-6 เมตร ไม่มีเนื้อไม้ ส่วนที่อยู่เหนือดินเป็นลำต้นเทียมเกิดจากกาบใบซ้อนกันจนแน่น ใบเดี่ยวรูปช้อน ปลายใบแหลมยาวมีติ่ง โคนใบมน ขอบเรียบ ใบสีเขียวมีด่างสีขาวหรือสีเหลืองตามแนวเส้นใบ ช่อดอกตั้ง แกนดอกสีเขียว มีกาบรองดอกสีเขียว 4-7 อัน เรียงเป็นสองแถวในแนวตั้งระนาบเดียวกัน และมีลายเป็นเส้นสีขาวหรือสีเหลืองตามทางยาว จะออกดอกมากในช่วงที่มีอากาศเย็น ให้หน่อด่าง มีผลโค้งอปลายสอบเรียว เปลือกด่างขาวเขียวหรือชมพู รสชาติอมเปรี้ยว ไม่มีเมล็ด นิยมขยายพันธุ์ด้วยการแยกกอและเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ปลูกได้ในดินทุกชนิด แต่เจริญเติบโตในดีในดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ชอบน้ำมาก และแสงแดดรำไร


2. กล้วยน้ำหว้าด่าง

กล้วยน้ำหว้าด่าง (Kluai Namwa Dang) ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Musa (ABB) 'Namwa Dang' เป็นสายพันธุ์กล้วยที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีการกระจายพันธุ์ไปยังเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ลักษณะเด่นคือ ลำต้นค่อนข้างสั้น มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นเทียมมีกาบใบหุ้มแน่นหนา แตกเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกเรียงสลับ สีเขียวด่างขาว รูปขอบขนาน ปลายใบมน ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว ช่อดอกห้อยลง มีใบประดับหุ้มขนาดใหญ่ ผลมีเนื้อและมีหลายเมล็ด นิยมขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ เนื่องจากเนื้อผลดิบของกล้วยสายพันธุ์นี้มีแป้งมาก ส่วนใหญ่จะนำมาทำให้สุกด้วยความร้อนก่อนรับประทาน เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น


3. กล้วยตานีด่าง

กล้วยตานีด่าง (Kluai Tani Dang) ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Musa balbisiana Colla จัดอยู่ในวงศ์ Musaceae กล้วยด่างที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสูงประมาณ 4 เมตร กาบด้านนอกสีเขียวเข้มมีริ้วด่างขาว มีปื้นดำที่คอใบเล็กน้อย กาบด้านในสีเขียว หน่ออ่อนสีเขียวเข้ม ไม่มีประ ก้านใบสีเขียวเข้ม ครีบก้านในสีเขียวขอบดำ โคนใบมนและเท่ากันทั้งซ้าย-ขวา ก้านช่อดอกไม่มีขน ปลายมนโค้งลง ไม่ม้วนงอ ใบประดับสีน้ำตาลอมแดง เรียงเหลื่อมซ้อนกันชัดเจน โคนใบด้านในสีเหลืองซีด ปลายใบด้านในสีชมพู มีผลขนาดเล็กป้อมสั้น ปลายผลมีจุกยาว ออก 7-8 หวีต่อเครือ หนึ่งหวีมีประมาณ 8-10 ผล ผลดิบจะมีเสียวเขียวเข้มลายริ้วด่างขาว เมื่อผลสุกเนื้อจะมีสีขาวมีเมล็ดมาก ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและแยกหน่อย สามารถปลูกได้ทั้งบริเวณกลางแจ้งและแดดรำไร เจริญเติบโตได้ดีในดินเหนียวปนทราย ชอบความชื้นปานกลาง


4. กล้วยเทพพนมด่าง

กล้วยเทพพนม (Praying Hands Bananas) จัดอยู่ในวงศ์ Musaceae มีถิ่นกำเนิดในประเทศฟิลิปปินส์ ลำต้นสูงประมาณ 3-5 เมตร ไม่มีเนื้อไม้ ส่วนที่อยู่เหนือดินเป็นลำต้นเทียมเกิดจากกาบซ้อนทับกัน กาบใบด้านนอกเป็นสีเขียว โคนกาบและกาบด้านในเป็นสีชมพู ใบสีเขียวมีลายด่างสีขาวหรือสีเหลืองขึ้นตามเส้นใบ ทางใบยาวประมาณ 3.5 เมตร แผ่นใบกว้าง ปลีสีม่วงอมเทา ด้านล่างสีแดงเข้ม ออกผลติดกันลักษณะคล้ายการพนมมือ 1 หวี มีประมาณ 16-17 ผล แต่ละผลมีเหลี่ยมชัดเจน สีเขียวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อสุก รสหวาน ไม่มีเมล็ด นิยมขยายพันธุ์ด้วยการแยกหน่อ ปลูกง่าย เติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี


5. กล้วยแดงอินโดด่าง

กล้วยแดงอินโดด่าง จัดอยู่ในวงศ์ Musaceae ไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูงประมาณ 3 เมตร ไม่มีเนื้อไม้ แตกต่างจากสายพันธุ์อื่น ๆ ตรงที่กาบใบจะมีน้ำตามแกมแดงเข้ม ซ้อนทับกันแน่นเป็นลำต้นเทียม ใบเดี่ยวรูปขอบขนาน ปลายแหลมมีติ่ง โคนมน แผ่นใบด้านบนมีน้ำตาลเขมแกมแดงลายด่างสีเขียวตามแกนใบหรือเส้นใบ บางต้นอาจจะเป็นลายด่างขาวหรือสีชมพูอ่อน ปลีมีกาบรองดอก 4-8 อัน สีเขียวอ่อน ขอบสีแดง กลีบเลี้ยงสีเขียวจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อแก่ ขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ด แยกกอ และเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนระบายน้ำได้ดี แสงแดดรำไร ชอบน้ำปานกลาง

วิธีปลูกกล้วยด่าง

การปลูกกล้วยและกล้วยด่างสามารถทำได้หลายวิธีตามความถนัด หลัก ๆ แล้วแบ่งออกเป็น 3 วิธีด้วยกันคือ

การเพาะเมล็ด : วิธีดั้งเดิมการปลูกกล้วย โดยการนำเมล็ดกล้วยที่แก่เต็มที่มาเพาะลงในดิน ซึ่งขั้นตอนนี้อาจจะกินเวลาประมาณ 1-4 เดือน เพราะเปลือกเมล็ดกล้วยค่อนข้างหนา จึงใช้เวลากว่าต้นอ่อนจะงอกออกมาให้เห็น ในปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไรนัก

 

การแยกหน่อ : หน่อกล้วยที่นำมาใช้ขยายพันธุ์มี 2 ชนิด ได้แก่ หน่อใบดาบหรือหน่อใบแคระ หน่อกล้วยที่เกิดจากตาของเหง้า ความสูงประมาณ 75-80 เซนติเมตร ลักษณะใบเรียวยาวเหมือนดาบ ให้ผลผลิตดีและมีลำต้นที่แข็งแรง ส่วนอีกหนึ่งชนิดคือ หน่อแก่ ที่เจริญเติบโตมาจากหน่อใบดาบ และมีอายุประมาณ 5-8 เดือน

 

การเพาะเนื้อเยื่อ : การปลูกกล้วยที่อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีกระบวนการซับซ้อน แต่ก็มีข้อดีหลายอย่าง เช่น สามารถขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากในคราวเดียว ปลอดภัยจากโรค ให้ผลผลิตสูง และต้นที่ได้รับการพัฒนาออกมาจะมีลักษณะตรงตามสายพันธุ์

CR : bighealthyplant

ข้อมูลอ้างอิง : home.kapook


5. ต้นมอนสเตอร่าด่าง


ต้นมอนสเตอร่ามีมากกว่า 50 สายพันธุ์ แต่ที่นิยมนำมาปลูกประดับบ้านมีประมาณ 3 สายพันธุ์ ดังนี้

มอนสเตอร่า เดลิซิโอซ่า (Monstera Deliciosa) : หรือเรียกง่าย ๆ ว่า มอนสเตอร่า ไจแอนท์ มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก มีลักษณะเด่นที่ใบขนาดใหญ่ตามชื่อ ขอบใบแตกเป็นแฉกสวยงาม ลำต้นตรง ขยายพันธุ์ง่าย ดูแลไม่ยาก หากโตตามธรรมชาติ อาจพบลำต้นที่มีความสูงถึง 20 เมตร และใบขนาดใหญ่ถึง 2 เมตร

มอนสเตอร่า บอร์สิเจียน่าอัลโบ (Monstera Borsigiana Albo) : หรือ มอนสเตอร่าด่าง แตกต่างกับสายพันธุ์แรกตรงที่ใบมอนสเตอร่าด่างจะมีสีขาวหรือเขียวอ่อนปนบนผิวใบ ซึ่งเกิดจากการสร้างคลอโรฟิลล์ไม่สมบูรณ์ และทำให้เกิดเป็นลายสวยงาม รวมถึงมีราคาสูงขึ้น

มอนสเตอร่า อะแดนโซนี่ (Monstera Adansonii) : หรือ พลูฉลุด่าง อีกหนึ่งสายพันธุ์หายากและเป็นที่ต้องการของนักสะสม โดดเด่นด้วยใบฉลุมาพร้อมลายด่างสีขาว โตไวในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

วิธีปลูกมอนสเตอร่า

มอนสเตอร่า นิยมขยายพันธุ์ 2 วิธี คือ การเพาะเมล็ด โดยแช่เมล็ดในน้ำประมาณ 2 วัน แล้วค่อยนำไปฝังกลบในดิน หากต้องการปักชำ ควรลิดใบออกให้หมด กรีดปลายก้านขึ้นมาประมาณ 1 นิ้ว จากนั้นปักลงไปในดินพร้อมไม้ค้ำด้านข้างช่วยพยุงก้าน

ดินที่นำมาใช้ควรเป็นดินร่วนผสมวัสดุปลูก เช่น หินเพอร์ไลต์ ขุยมะพร้าว หรือกาบมะพร้าวสับ เพื่อทำให้ดินโปร่ง ถ่ายเทอากาศได้สะดวก และระบายน้ำได้ดี ไม่ทำให้ดินชื้นเกินไปจนทำให้รากเน่า


วิธีดูแลมอนสเตอร่า

มอนสเตอร่า เป็นต้นไม้ที่ชอบแสงแดดปานกลาง หากจะปลูกในบ้านควรวางไว้ในที่มีแดดรำไร เลี่ยงพื้นที่ที่โดนแสงแดดแรงโดยตรง แล้วรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง โดยเพิ่มความถี่ในการรดน้ำช่วงหน้าร้อนหรือเมื่อดินแห้ง และลดปริมาณการให้น้ำลงมาในช่วงฤดูฝน หรือเมื่อเห็นว่าดินยังชุ่มหรือเวลาที่มีความชื้นสูง เพราะหากรดน้ำน้อยหรือมากเกินไปจะทำให้เกิดโรคใบไหม้และใบเหลืองได้

CR : khaosod

ข้อมูลอ้างอิง : home.kapook


6. บอนกระดาษด่างก้านดำ

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้น ไม้ล้มลุก มีหัวอยู่ใต้ดิน เจริญเป็นกอสูงได้ถึง 2 เมตร ลำต้นสั้น ตั้งตรง สีม่วงปนสีน้ำตาล อวบน้ำ

ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปไข่แกมรูปหัวใจ กว้าง 25-60 เซนติเมตร ยาว 30-90 เซนติเมตร ปลายติ่งแหลม โคนเว้าลึก ขอบเป็นคลื่น แผ่นใบสีเขียว มีรอยด่างปื้นสีขาวอมเทากระจายไม่เป็นระเบียบ ผิวเรียบเป็นมัน มีเส้นแขนงใบข้างละ 5-7 เส้น ก้านใบใหญ่ ยาว 1.2-1.5 เมตร สีเขียวมีรอยด่างสีขาว เป็นปื้นยาว

ดอก ออกดอกเป็นช่อ ออกตามปลายยอด ดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ช่อดอกเป็นแท่งยาวปลายแหลม ยาว 11-23 เซนติเมตร ก้านช่อดอก ยาว 25-50 เซนติเมตร มีกาบรองดอกสีเหลืองอมเขียวหุ้มอยู่ โคนกาบโอบรอบโคนช่อดอก ดอกเพศผู้อยู่บริเวณส่วนบน ดอกเพศเมียอยู่บริเวณโคนช่อ

ผล กลม เป็นกระจุก ไม่มีก้านผล ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีส้มแดง

ข้อมูลทั่วไป

มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การปลูกเลี้ยงและการใช้ประโยชน์

การปลูกเลี้ยง  ดินเหนียวหรือดินร่วน ต้องการน้ำมาก ชอบแดดรำไร 

การขยายพันธุ์  เพาะเมล็ด แยกหน่อ 

การใช้ประโยชน์  ปลูกประดับสวน ปลูกเป็นไม้กระถาง 

CR : เรือนบุษบา Ruern BoossaBa

ข้อมูลอ้างอิง : home.kapook


7. ต้นบอนสีอิเหนาดิน

ควรเป็นดินที่มีความร่วนซุย ระบายน้ำและอากาศได้ดี มีอินทรียวัตถุและธาตุอาหารสูง มีส่วนผสมของขุยไผ่ ใบทองหลาง ใบมะขาม หรือใบก้ามปูที่ผุแล้ว

น้ำ  บอนสีเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก จึงควรให้น้ำสม่ำเสมอ ถ้าต้นบอนขาดน้ำจะชะงักการเจริญเติบโต ไม่สดใส การรดน้ำควรรดวันละ 2 ครั้งตอนเช้าและตอนเย็น ไม่ควรใช้สายยางฉีดน้ำที่โคนต้นเพราะจะทำให้กระทบกระเทือนอาจทำให้ต้นและใบของบอนสีฉีกขาดและหักได้ ถ้าปลูกในกระถางควรมีจานรองกระถางใส่น้ำไว้เสมอ 

แสงแดด  สีผลต่อสีสันและลวดลายของใบบอนมาก ถ้าบอนสีได้รับแสงแดดน้อยเกินไปจะทำให้ใบบอนมีสีซีดไม่สวยงาม ถ้าได้รับแสงแดดมากจะทำให้ใบมีสีสด เข้ม และ ลวดลายสวยงาม แต่ถ้าได้รับแสงแดดจัดเกินไปอาจทำให้ใบห่อเหี่ยวและเป็นรอยไหม้ได้ ดังนั้นแสงแดดที่เหมาะสมในการเลี้ยงบอนคือแสงแดดรำไรในตอนเช้าหรือช่วงบ่ายที่ไม่ร้อนจัด หรืออาจใช้ที่พรางแสง 50-70% ช่วยก็ได้ 

ความชื้นในอากาศ  บอนเป็นพืชที่ต้องการความชื้นในอากาศสูง ในฤดูหนาวและฤดูร้อนความชื้นในอากาศต่ำหัวบอนจะพักตัวและทิ้งใบหมด เมื่อถึงฤดูฝนความชื้นในอากาศสูงบอนจึงจะเริ่มผลิใบเติบโตอีกครั้ง เพื่อป้องกันการพักตัวของบอนในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนจึงมีการปลูกเลี้ยงบอนในตู้หรือในกระโจม 

การให้ปุ๋ย  ปุ๋ยอินทรีย์ควรใช้ปุ๋ยคอกมูลหมูและมูลไก่ ส่วนมูลวัวเมื่อใช้ไปนานๆ จะทำให้ดินเละทำให้หัวเน่าได้ง่าย ปุ๋ยเคมีใช้สูตรเสมอ เช่น 16-16-16 ในอัตราต่ำๆ จะช่วยให้ใบดกและสีสันสวย ถ้าใส่มากจะทำให้ชั้นใบห่างเกินไป ไม่ควรใช้ปุ๋ยละลายน้ำที่ให้ทางใบเพราะอาจทำให้ใบเป็นรอยไหม้ได้ เนื่องจากผิวใบของบอนสีบอบบาง 

CR : Happy Me, Happy Trees

ข้อมูลอ้างอิง : panmai


8. ฟิโลเดนดรอน พิงค์ ปริ้นเซส

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ฟิโลเดนดรอน พิงค์ปริ๊นเซส เป็นไม้อยู่ในวงศ์บอน Araceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Philodendron erubescens เป็นสายพันธุ์จากป่าฝนเขตร้อนในอเมริกาใต้ ถิ่นกำเนิดอยู่ในโคลัมเบีย Philodendronมาจากภาษากรีก 2 คำ คือ Phileo แปลว่า “รัก” และ Dendronแปลว่า “ต้นไม้” ส่วน erubescens เป็นคำคุณศัพท์เฉพาะ หมายถึง “หน้าแดง” และ ฟิโลเดนดรอน ตัวนี้เป็นลูกผสมของ P. erubescens กับ Philodendron สายพันธุ์อื่นอีกทีหนึ่ง

ลำต้น มีสีแดง

ใบ เป็นรูปหัวใจ ยาว 10-40 เซนติเมตร ใบอ่อน มีสีเขียวมะกอกเข้มมีสีขาว จนถึงสีเขียวเข้มเกือบดำ มีจุดสีชมพูสดใส หรือรอยด่างสีชมพูอ่อน ใบสามารถเติบโตได้ยาวถึง 9 นิ้ว และกว้าง 5 นิ้ว

ดอก มีสีแดงเข้ม มีกลิ่นหอม ยาวถึง 15 เซนติเมตร

ใบเขียวเข้ม


การปลูกและดูแลรักษา

ฟิโลเดนดรอน พิงค์ปริ๊นเซส เป็นหนึ่งในไม้ใบที่นิยมปลูก ด้วยฟอร์มใบที่สวยแปลกตา ดูแลง่าย แค่มีอากาศถ่ายเท แสงส่องรำไร ปลูกนอกบ้านให้เลื้อยก็ได้ หรือจะปลูกในกระถางตั้งประดับบ้านก็ดี

เครื่องปลูก กาบมะพร้าวสับเล็ก (3 ส่วน แช่น้ำก่อน 2-3 วัน โดยเปลี่ยนน้ำใหม่ทุกวัน) ผสมกับดินร่วนแห้งๆ (1 ส่วน) : ขุยมะพร้าว (1 ส่วน) ควรใส่ดิน ไม่งั้นก็อาจจะต้องเปลี่ยนเครื่องปลูกบ่อย เพราะไม่มีธาตุอาหารจากดิน ใช้ดินเผาอัดเม็ด หรือหิน perlite โรยหน้าก็ได้


วิธีที่จะทำให้น้องพิงค์มีสีชมพู

1. ให้วางไว้ในจุดที่มีแสงค่อนข้างสว่างหรือมีแสงแดด แต่ไม่ให้ใบโดนแดดโดยตรง เพราะใบสีชมพูมีคลอโรฟิลล์น้อยกว่าใบปกติ และดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ได้น้อยกว่าสีเขียว ถ้าเอาไปวางในที่ที่แสงน้อย พืชก็จะสร้างสีคลอโรฟิลล์เพื่อเพิ่มอัตราการสังเคราะห์แสงให้อยู่รอด

2.ให้น้ำแบบสเปรย์ ตอนเช้าวันละ 1 ครั้ง คอยสังเกตเครื่องปลูก ถ้ายังชื้นอยู่ไม่ต้องให้น้ำเพิ่ม ถ้าน้ำมากรากกับใบอาจจะเน่าได้ หากโดนฝนแรงๆ ใบจะช้ำหรือหักได้

3.สเปรย์ปุ๋ยสูตรเร่งใบหลังจากปลูกไปสักระยะหนึ่ง หรือใส่ปุ๋ย สูตร 13-13-13 (ปุ๋ยออสโม) ทุกๆ 2 เดือน ประมาณ 10-20 เม็ด สำหรับกระถาง 4-6 นิ้ว


การขยายพันธุ์ : เทคนิคปลอดเชื้อ

ตอนนี้ใครๆ ต่างก็ให้ความสนใจเทคนิคนี้กัน ซึ่งมันก็คือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนั่นเอง เทคนิคนี้สามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างมากมาย และฟิโลเดนดรอน พิงค์ปริ๊นเซส ตัวนี้ก็ด่างชมพูได้ทุกต้น ลายจะไม่ซ้ำกันเสียด้วยในแต่ละใบ มันมีเสน่ห์และน่าตื่นเต้นจริงๆ เวลาได้ลุ้นใบใหม่ว่าจะมีสีชมพูแบบไหน


CR : pueanry

ข้อมูลอ้างอิง : technologychaoban


9. ประกายเงิน

ต้นประกายเงิน Warneckei

ประกายเงิน ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Dracaena deremensis วงศ์ : LILIACEAE ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ แอฟริกา เป็นพรรณไม้ที่ปลูกเป็นไม้ประดับภายในอาคารได้ดี เพราะปลูกง่ายและทนทาน ไม่ต้องการแสงแดดมาก สามารถเติบโตอยู่ในที่แดดรำไรหรือมีแสงน้อยได้ดี ประกายเงินมีลักษณะลำต้นที่เป็นกอ ใบมีสีเขียวเข้ม มีลายสีขาวหรือสีเขียวอมเทาพาดตามแนวยาว ใบของต้นประกายเงินจะแคบเรียวยาว ปลายแหลม ออกใบอยู่รอบลำต้น กาบใบหุ้มรอบลำต้น ใบอ่อนจะแตกตรงส่วนยอดของลำต้น ถ้าปลูกกลางแจ้ง สามารถสูงได้ถึง 5 เมตร ถ้าปลูกภายในอาคารจะสูงประมาณ 3 เมตร ประกายเงิน เป็นพืชที่ต้องการแสง เลี้ยงง่าย ปลูกได้ทั้งที่กลางแจ้งและในที่ร่ม แสงแดดรำไร สามารถเจริญเติบโตได้แม้มีแสงน้อยและความชื้นน้อย และที่สำคัญประกายเงินมีความสามารถในการดูดสารพิษ จำพวกเบนซินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นไม้ประดับที่แนะนำให้ปลูกภายในอาคารเพื่อดูดสารพิษ เป็นพืชที่ต้องการแสง แดดรำไรถึงแดดจัด เติบโตได้ดีในอุณหภูมิ 16-24 องศาเซลเซียส เป็นต้นไม้ที่ ต้องการความชื้นมาก และ ต้องการน้ำมาก

การดูแลต้นประกายเงิน สามารถปลูกได้ทั้งที่ที่มีแสงแดดจ้า หรือที่ร่มที่มีแดดรำไร ต้องการน้ำมาก แต่ไม่แฉะและต้องการความชุ่มชื้นตลอดเวลา หมั่นใช้ผ้าเปียกหมาดเช็ดใบ ใบจะมันเป็นเงาสวยงาม ควรใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกใส่เป็นประจำเดือนละครั้ง

การปลูกต้นประกายเงิน ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำยอดหรือส่วนของลำต้น ชอบดินร่วนซุย ใช้ดินร่วน 2 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน

การขยายพันธุ์ต้นประกายเงิน ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำยอดหรือส่วนของลำต้น

โรคและแมลง เป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่ค่อยมีโรคและแมลงมารบกวน

CR : ชุมชนคนรักษ์พรรณไม้

ข้อมูลอ้างอิง : ecarddesignanimation

ฝากติดตามเพจ ReviewPromote #ReviewPromote #กินเก่ง #เที่ยวเก่ง

ต้นไม้ใบด่าง ควรมีในบ้าน สวยสะดุดตา
รายละเอียดแจ้งไว้ในบทความ

แชร์บอกให้เพื่อนคุณรู้

คอมเม้น

0 คอมเม้น
Other Review by Review Promote

กฎการรีวิว

People who love what they do help
you get everything done at an
unbeatable value.

รีวิวโดยทีมงาน RP

What do you do best? Create your
Gig and start selling. It’s free, and
only takes 5 minutes.

ร่วมกิจกรรม

Your safety is our top priority. Secure
transactions and our safety team
protect you at all times.
เข้าสู่
ระบบ
เขียน
รีวิว
รีวิว
อัพเดท
Top 10
รีวิว
TOP
ติดต่อทีมงานเพื่อ
แนะนำรีวิวน่าสนใจ
https://reviewpromote.com/post/741/%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%89%e0%b9%83%e0%b8%9a%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%87-%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99-%e0%b8%aa%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b8%aa%e0%b8%b0%e0%b8%94%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b8%95%e0%b8%b2