พ่อแม่และผู้ปกครองทุกท่าน ต่างก็อยากให้บุตรหลานโตขึ้นมาเป็นเด็กที่เก่งและมีอนาคตที่ดีด้วยกันทั้งนั้น เรามาดูวิธี เลี้ยงลูกให้เก่งกว่าคนอื่น กันว่ามีอะไรบ้าง
เมื่อเราโตขึ้นมา จะพบว่าประสบการณ์ระหว่างการเดินทางนั้น มีค่ามากกว่าจุดหมายปลายทาง ดังนั้นหากลูกตั้งเป้าหมายที่จะทำอะไรบางอย่าง แต่ต้องสะดุดล้มหรือไปไม่ถึงเป้าหมาย คุณควรชื่นชมในความพยายาม อย่าให้ลูกรู้สึกอายที่ทำพลาดไป เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ความพยายามของลูกต่างหากที่สำคัญ เพราะนั่นจะทำให้เด็กมีความมั่นใจและมีความกล้ามากขึ้น
ให้กำลังใจและส่งเสริมให้ลูกทำในสิ่งที่เค้าสนใจ แต่ต้องไม่กดดันลูก เพราะการฝึกฝนที่ได้รับแรงสนับสนุน กำลังใจ และแรงบันดาลใจจากพ่อแม่ จะทำให้ลูกเกิดพัฒนาการที่ดีตามมา
หากคุณพ่อคุณแม่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกอยู่เสมอ จะทำให้ลูกขาดทักษะและความเชื่อมั่นในการที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และหากพ่อแม่คอยทำทุกอย่างให้ลูกตลอดเวลา ก็จะทำให้ลูกไม่รู้จักคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และไม่มีความมั่นใจที่จะทำอะไรด้วยตัวของเค้าเอง เช่น พ่อแม่อาจจะยอมให้ลูกได้เกรด 2 หรือ เกรด 3 บ้าง แต่ลูกได้เรียนรู้และได้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ดีกว่าการที่ลูกได้เกรด 4 จากความช่วยเหลือของพ่อแม่โดยที่ลูกไม่ได้ความรู้อะไรเลย
พ่อแม่ไม่ควรพยายามให้ลูกแสดงพฤติกรรมเหมือนผู้ใหญ่ เพราะการที่เด็กต้องแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับวัย พ่อแม่ตั้งมาตรฐานที่ลูกไม่สามารถไปถึงได้ จะทำให้ความพยายามและความมั่นใจของลูกลดลง
ผู้ปกครองควรส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก โดยการตั้งคำถามเพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างบนโลกใบนี้ที่เรายังไม่รู้และรอให้เราได้ไปศึกษา ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้ลูกมีความอยากรู้อยากเห็นและชอบที่จะหาความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ และจะทำให้เด็กเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนอื่น
หาสิ่งใหม่ๆที่ท้าทายให้ลูกได้ลองทำและแสดงให้ลูกเห็นว่า ความสำเร็จจากเป้าหมายเล็กๆ ก็นำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ เช่นการขี่จักรยานโดยไม่ใช้ล้อเล็กฝึกการช่วยขี่ จะทำให้ลูกมีความมั่นใจและความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น
การให้สิทธิพิเศษกับลูกอยู่บ่อยๆจะทำให้ลูกติดเป็นนิสัย และทำให้ความพยายามของเด็กลดลง
ไม่มีสิ่งไหนที่ทำให้ลูกท้อใจเท่ากับการวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบจากพ่อแม่ หากเป็นการให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะก็ไม่เป็นไร แต่อย่าบอกลูกว่าสิ่งที่เค้าทำนั้นมันแย่จริงๆ เพราะหากเด็กกลัวที่จะล้มเหลวเพียงเพราะกังวลว่าพ่อแม่จะว่าหรือโกรธ จะทำให้ลูกไม่กล้าทำสิ่งใหม่ๆ อีกทั้งการที่พ่อแม่คอยวิพากษ์วิจารณ์ลูกในทางที่ไม่ดีอยู่บ่อยๆจะทำให้ลูกหมดแรงจูงใจและรู้สึกหมดคุณค่าในตัวเอง
คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนความผิดพลาดของลูกให้เป็นโอกาสที่จะเรียนรู้และก้าวต่อไป และอธิบายให้ลูกเกิดความเข้าใจถึงความผิดพลาดเพื่อให้มีการวางแผนที่ดีขึ้นในครั้งหน้า
คุณพ่อคุณแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้เจอสิ่งใหม่ๆเพื่อเพิ่มโลกทัศน์ในการเรียนรู้ในโลกอันกว้างใหญ่ ซึ่งจะทำให้ลูกได้รู้ว่า แม้ว่าเราจะเจอเรื่องราวที่น่ากลัวและยากลำบากเท่าไร แต่เราก็จะสามารถฝ่าฟันและเอาชนะมันได้
ในวัยเด็กนั้นลูกของคุณจะมองว่าคุณเป็นฮีโร่ของพวกเขา คุณควรใช้โอกาสนี้สอนลูกให้รู้จักคิด พูด และลงมือทำ โดยแสดงให้เขาดูเป็นตัวอย่าง เพราะการที่ลูกได้เห็นว่าเราทำได้ ลูกก็จะเกิดความมั่นใจว่าเค้าก็ทำได้เช่นกัน
บางครั้งสิ่งต่างๆที่เราเจอก็ไม่ยุติธรรมเสมอไป ซึ่งลูกต้องเรียนรู้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง หากลูกเจอกับความยากลำบาก พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้ว่า ความอดทนและความยืดหยุ่น จะช่วยให้เราปรับตัวต่อสถาณการณ์ต่างๆได้ และเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่จะต้องอธิบายให้ลูกรู้ว่า บนถนนสู่ความสำเร็จย่อมต้องมีขวากหนามให้เราได้ฝ่าฟัน
บางครั้งเมื่อลูกรู้ว่าเรากังวลใจในตัวเค้าอาจแปลความหมายได้ว่าไม่เชื่อมั่น ซึ่งการแสดงความมั่นใจของผู้ปกครองนั้นจะส่งผลต่อความมั่นใจของลูกด้วยเช่นกัน
การให้ความช่วยเหลือเด็กมากเกินไปและเร็วเกินไปจะทำให้เด็กไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ควรยื่นมือเข้าช่วยเมื่อถึงเวลาที่สมควร และควรให้ลูกได้ลองช่วยเหลือตัวเองก่อนเพื่อให้ลูกโตขึ้นมาเก่งและมีความสามารถที่ดี
คุณพ่อคุณแม่ควรที่จะชมและให้กำลังใจเมื่อลูกทำสิ่งใหม่ๆ โดยใช้การพูดชมง่ายๆเช่น “เก่งมากค่ะ” จะทำให้ลูกรักการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพื่อพัฒนาการที่ดีของเค้า
เด็กๆมันจะรอฟังว่าคุณพ่อคุณแม่จะพูดอย่างไรเมื่อเค้าทำสิ่งใหม่ๆได้สำเร็จ ดังนั้นหากคุณแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณตื่นเต้นกับสิ่งที่เค้าทำได้ เช่นว่ายน้ำได้ หรือพูดภาษาใหม่ๆได้ ก็จะทำให้เด็กๆตื่นเต้นไปด้วย และจะทำให้ลูกมีความมุ่งมั่นมากขึ้น
พ่อแม่ไม่ควรบังคับหรือเข้มงวดจนเกินไป เพราะนั่นจะทำให้ลูกขาดความมั่นใจ หรืออาจทำให้ลูกมีนิสัยดื้อรั้น อีกทั้งการทำตามคำสั่งตลอดเวลาอาจทำให้เค้าไม่มีความเป็นผู้นำ และทำให้ลูกขาดความกล้าได้
แชร์บอกให้เพื่อนคุณรู้